วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

รู้กฏแห่งกรรม






รู้กฏแห่งกรรม
กรรม คือ การกระทำ หมายถึง การกระทำดี
ประกอบด้วยเจตนา คือ ทำด้วย ความจงใจหรือจงใจทำดีก็ตามชั่วก็ตาม
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
รู้จักโลกธรรม
โลกธรรม คือธรรมที่มีอยู่ประจำโลก ธรรมดา ของโลก ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลก และสัตว์โลกก็เป็นไปตามมัน
โลกธรรมมี.8.อย่าง คือ
1.มีลาภ ไมมีลาภ
2.มียศ ไม่มียศ
3.นินทา สรรเสริญ
4.สุข ทุกข์
โลกธรรมทั้งเเปดประการนี้ เป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กับโลกของเรา
เราจะเกิดมาอยู่บนโลกนี้ หรือไม่มาเกิดมันก็มีของมัน เช่นนั้นเอง ที่ทางพระเรียก ตถตา..
ทำไมจะต้องรู้จักโลกธรรมด้วย ?จะต่างคนต่างอยู่ในโลกด้วยกันไม่ได้หรือ?
ตอบแบบ ฟันธง ก็ต้องตอบว่าไม่ได้!
เพราะเหตุใดเพราะมันเป็นของที่มีอยู่ก่อนแล้วประจำโลกของเราก็ว่าได้??

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

เชื่อในกรรม






คนที่เชื่อในกรรม

คนที่เชื่อในเรื่องกรรม ย่อมสามารถอดทน รับความทุกข์ยากลำบาก

ความผิดหวัง ความขมขื่น และเคราะห์ร้ายที่เกิดแก่ตนได้

เพราะถือว่าว่าเป็นกรรมที่ทำมาแต่อดีต

ไม่ตีโพยตีพายว่า โลกนี้ไม่มีความยุติธรรม ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม

ทำดีแล้วไม่ได้ดี

คนที่เชื่อในเรื่องกรรม

จะยึดมั่นอยู่ในการทำความดีต่อไป จะเป็นผู้สามารถให้อภัยแก่คนอื่น

จะเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ

"คนโง่ย่อมเห็นบาปเป็นน้ำผึ้งตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล"

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

มีความกตัญญูและกตเวที






มีความกตัญญูและกตเวที...
กตัญญู คือ รู้คุณท่าน
กตเวที คือ ตอบแทน หรือสนองบุญคุณท่าน
ผู้มีความกตัญญูและกตเวที คือ ผู้ที่รู้คุณของท่าน
มีคุณและได้ตอบแทนหรือได้สนองพระคุณของท่าน

ธรรมมะสองข้อนี้จะต้องปฏิบัติให้คู่กัน โดยเฉพราะข้อหนึ่ง ต้องมาก่อน แล้วข้อสอง
ก็ตามมา จึงจะถือว่าเป็นผู้มีความกตัญญูและกตเวเที
ความเป็นผู้มีความกตัญญูและกตเวทีท่านว่าเป็นพื้นฐานหรือรากแก้วของคนดี
การรู้คุณและตอบแทนคุณ
เป็นคุณธรรมพื้นฐานคนดี